วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

สัญญาณบอกเหตุถึง การล่มสลายของ สหรัฐฯ อเมริกา

สัญญาณบอกเหตุถึง การล่มสลายของ สหรัฐฯ อเมริกา
  • อารยะธรรมต่างๆในโลก ที่เคยปรากฏขึ้นบนหน้าประวัติศาสตร์นั้น ได้ถือกำเนิดขึ้น และ ล่มสลายลงไป เป็นวัฏจักร จักรวรรดินิยมทั้งหลายที่ได้ล่มสลายลงไปแล้วในอดีต เราจะพบว่า ครั้งนี้ในประวัติศาสตร์จะเป็นคิวของอเมริกา ที่จะกลายเป็นบทเรียนและบันทึกทางประวัติศาสตร์ ที่วางอยู่เคียงคู่กับจักรวรรดินิยมและอารยะธรรมโบราณทั้งหลาย
  • ในหลายทศวรรษที่ผ่านมา อเมริกาได้รับประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ การเปลี่ยนแปลง ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากในด้านคุณธรรม ส่วนบุคคลและของสังคมการเมือง ผลของการเปลี่ยนแปลงนี้ก็คือ อเมริกาในปัจจุบัน ความเกียจคร้าน ความไร้ศีลธรรมและความเห็นแก่ตัวได้กลายเป็นจิตวิญญาณที่ปกคลุมอยู่ทั่วไปในสังคม และภายใต้ความมืดมน ของสภาพการณ์ดังกล่าวนี้ การปกครองของผู้มีคุณธรรม (meritocracy) จะถูกแทนที่ด้วยการปกครองของชนชั้นและวงศ์ตระกูล ประชาชาติใดก็ตามที่การปกครองของผู้มีคุณธรรม ถูกแทนที่ด้วยการปกครองของชนชั้นและวงศ์ตระกูล สังคมและประชาชาตินั้น จะไม่สามารถดำรงความอยู่รอดของตนสืบไปได้ด้วยความแข็งแกร่งและมั่นคง ปัจจุบันนี้สังคมของอเมริกาไม่ว่าจะในด้านของการเมือง ด้านเศรษฐกิจ ด้านจริยธรรมทางสังคม ที่ได้ประสบกับความเสียหายและความเสื่อมทรามด้วยมือของกลุ่มชนชั้นและวงศ์ตระกูลดังกล่าว ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วก็คือพวกนายทุน ที่กำลังควบคุมและครอบงำอยู่ ซึ่งต่างก็ให้การสนับสนุนค้ำจุนซึ่งกันและกัน เกาะกุมและทรงอิทธิพล
  • ปัจจุบันการใช้ชีวิตอยู่ในความฟุ่มเฟือยและความสุขสำราญ จะเป็นเครื่องสนองความพึงพอใจ ของประชาชนชาวอเมริกันมากกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด คุณค่าของการทำงานและความพยายามในการที่จะทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จ กำลังหมดสิ้นไปจากสังคม ความพยายามในการทำงานอย่างหนักนับว่าเป็นเรื่องที่ไร้สาระ การโกหกและการหลอกลวงกำลังถูกเปลี่ยนเป็นเครื่องมือหลักเพื่อให้บรรลุสู่เป้าหมายต่างๆ ซึ่งสามารถพบเห็นได้ในทุกระดับของสังคมอเมริกันนับจากระดับสูงสุดจนถึงที่ต่ำสุด บรรดานักการเมืองจะพูดโกหกปลิ้นป้อนอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับนโยบายต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และความเสื่อมทรามทางศีลธรรมของสมาชิกในสังคมเองก็เป็นเหตุทำให้การโกหกและการหลอกลวงได้แพร่ระบาดไปในหมู่ประชาชนโดยทั่วไป
  • จิม เนลสัน แบล็ค (Jim Nelson Black)ชาวอเมริกัน นักวิจัยเกี่ยวกับปัญหาสังคมอเมริกา มีหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ “เมื่อประชาชาติทั้งหลายได้ตายลง” (When nations die) ส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้เขากล่าวว่า “เมื่อเราพิจารณาประวัติศาสตร์ในช่วงสามพันปีที่ผ่านมาเราจะพบว่ามีอารยะธรรมต่างๆ มากมายปรากฏขึ้น แต่ท้ายที่สุดก็ต้องพบกับความตกต่ำและการล่มสลาย ประวัติศาสตร์โลก ก็คือประวัติศาสตร์ของประชาชาติทั้งหลายที่ถูกพิชิตโดยประชาชาติอื่น หรือผลจากการจรลาจลและความโกลาหลต่างๆ ที่ทำให้มันล่มสลายลง และขณะนี้พยานหลักฐานและกรณีแวดล้อมต่างๆ ของเหตุการณ์ลักษณะนี้ที่กำลังเกิดขึ้น ในประเทศของเรา (อเมริกา) เช่นเดียวกัน เมื่อเราพิจารณาความหายนะและเหตุการณ์ต่างๆ ที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ที่จักรวรรดิ์ ต่างๆได้ล่มสลายลง มีความคล้ายคลึง กับสังคมของเรา ในเวลานี้
  • พวกเราส่วนใหญ่คิดว่าการถูกทำลายล้างของเมืองคาร์เธจ (Carthage) การปรากฏขึ้น ของจักรวรรดิกรีก และการล่มสลายของจักรวรรดิโรม เป็นแค่การจินตนาการเกี่ยวกับอดีตและบทเรียนต่างๆ อันยาวนานแห่งประวัติศาสตร์ที่ถูกหลงลืมไปแล้วเพียงเท่านั้น และเหตุการณ์ต่างๆ อย่างเช่น การพิชิตกรุงคอนสแตนติโนเปิล การแบ่งแยกจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ การล่มสลายของระบอบการปกครองแบบกษัตริย์ของฝรั่งเศส การเสื่อมสลายลงที่ละน้อยของจักรวรรดิอังกฤษนั้น ไม่ค่อยมีความสำคัญ และไม่เป็นที่ชัดเจนสำหรับพวกเราสักเท่าใด ส่วนใหญ่พวกเราไม่ค่อยจดจำเกี่ยวกับบทเรียนต่างๆ ทางประวัติศาสตร์เท่าใดนัก เช่นในกรณีที่เกี่ยวกับขบวนการเคลื่อนไหวทางปัญญาของฝรั่งเศส หรือประเด็นที่นำไปสู่การปฏิวัติอเมริกา เราได้เรียนรู้บทเรียนจากประวัติศาสตร์เป็นจำนวนมาก แต่ทว่าสิ่งเหล่านี้เป็นอดีตที่ไม่อาจหลีกหนีและเป็นสถานะทางประวัติศาสตร์ของเรา นี่เป็นประเด็นที่มีความสำคัญยิ่งที่จะทำให้เราสามารถเข้าใจถึงธรรมชาติและเนื้อแท้ของการดำเนินชีวิตในยุคสมัยนั้นได้อีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้เนื่องจากว่ายุคสมัยเหล่านั้นและความสัมพันธ์ต่างๆ ของมันจะสะท้อนให้เห็นถึงหัวใจของปัญหาที่อยู่เบื้องหน้าของเราในปัจจุบัน”
  • จิม เนลสัน แบล็ค : ความคล้ายคลึงกันของสถานการณ์ในปัจจุบันของอเมริกากับความหายนะและเหตุการณ์ต่างๆ ที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ นับว่าเป็นสิ่งที่น่าทึ่ง
  • มีเหตุผลหลายประการที่สามารถอธิบายถึงการล่มสลายและความพินาศของแต่ละประชาชาติ ซึ่งหนึ่งในเหตุผลที่สำคัญที่สุด(ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมักจะถูกมองข้าม) ที่สามารถกล่าวได้ก็คือ “การละทิ้งศาสนา” รัสเซล เคิร์ก (Russell Kirk) ผู้เป็นเชี่ยวชาญด้านทฤษฎีเกี่ยวกับการเมืองและเป็นนักวิจัยด้านประวัติศาสตร์มีความเชื่อว่า รากศัพท์ของคำว่า “culture” (วัฒนธรรม) มาจากคำว่า “cult” (การเคารพบูชาหรือพิธีปฏิบัติทางศาสนา) กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ วัฒนธรรมนั้นถูกประกอบขึ้นบนพื้นฐานของโลกทัศน์ทาง ศาสนาหรือทางจิตวิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง อียิปต์โบราณเป็นสังคมแห่งพิธีกรรมที่ก่อรูปขึ้นบนพื้นฐานของการเคารพบูชาบรรดาเทพเจ้าและเทพีธรรมชาติ ส่วนกรีกและโรมันก็มีวิหารเคารพบูชารูปปั้นสักการะของตนเอง ด้วยการศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของอินเดีย จีนและส่วนอื่นๆ ของโลกจะเห็นได้ว่าทั้งหมดเหล่านี้ รากฐานของอารยธรรมล้วนเกิดขึ้นมาจากลักษณะหนึ่งของพิธีกรรมทางศาสนา และเป็นเรื่องธรรมชาติที่ว่าเมื่อความเชื่อต่างๆ แบบดั้งเดิมของประชาชาติหนึ่งได้อ่อนแอลง ก็จะทำให้ประชาชาติทั้งหลายตายลง ศาสนาที่เป็นหลักสำหรับการบริหารจัดการประชาชาติก็ได้ตายไปแล้วจากสังคมอเมริกา
  • วิลล์ ดูแรนท์ (Will Durant) กล่าวว่า "สังคมหนึ่งที่ปราศจากศาสนาจะไม่สามารถ ดำรง อยู่ได้" สังคมอเมริกันกำลังย่างก้าวเข้าสู่เส้นทางที่ปราศจากฎเกณฑ์ทางศาสนา แผ่นป้ายบัญญัติสิบประการ (Ten Commandments) ถูกยกออกไป และคุณค่าต่างๆ ทางด้านศาสนาถูกรวบรวมออกไปจากชนชั้นของสังคม พื้นฐานความเชื่อของคริสต์ศาสนาไม่มีการเรียนการสอนในโรงเรียนต่างๆ ของรัฐอีกต่อไป และส่วนใหญ่มักจะถูกนำมาเย้ยหยันถากถางในเวทีต่างๆ ทางด้านการศึกษาและด้านสื่อ ดังนั้นจะสามารถจินตนาการอะไรได้อีกเกี่ยวกับอนาคตของประเทศนี้
ในหนังสือของเนลสัน แบล็ค ได้ชี้ให้เห็นถึงสามด้านของการล่มสลาย คือ
    • 1.วิกฤติของความไร้กฎระเบียบ
    • 2.การสูญเสียระบบทางด้านเศรษฐกิจ
    • 3.การเมืองของชนชั้นปกครอง นายทุน และ นักการเมือง กับเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐ
  • ในประวัติศาสตร์เราจะพบเห็นตัวอย่างที่ชัดเจนอย่างมากมายที่เกิดจากผลต่างๆ ที่นำมาซึ่งความหายนะจากการล่มสลายของกฎหมายและความเป็นระบบระเบียบ ในสมัยกรีกโบราณ สัญญาณแรกของความหายนะก็คือ การสูญสิ้นการเคารพให้เกียรติของสาธารณชนต่อจารีตประเพณี ความมักง่าย ความเปรอะเปื้อนและไร้ขื่อแปรของบรรดาเยาวชน ซึ่งผลติดตามมาก็คือ ศิลปะและความบันเทิงต่างๆ ที่ชักนำไปสู่ความเสียหาย นักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์เอง ก็ได้ทำให้บรรยากาศของพูดคุยและความสัมพันธ์ต่างๆ บิดเบี้ยวไป การบรรยายและการปาฐกถา กลายเป็นสถานที่ของการต่อสู้และการแข่งขันชิงชัยกัน ปัญญาชนเริ่มที่จะหัวเราะเยาะและถากถางซึ่งกันและกัน และโจมตีต่อรากฐานต่างๆ ทางจารีตประเพณีดั้งเดิมของสังคมแบบกรีกโบราณ (Hellenistic) บรรดานักคิดสมัยใหม่จะพูดแต่เรื่องเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานต่างๆ และเรียกร้องให้มอบสิทธิในการแสดงทัศนะความคิดเห็นให้แก่เยาวชนคนหนุ่มสาวในสังคม โดยปราศจากการชี้นำทางด้านจารีตประเพณีแบบดั้งเดิม ผู้ที่เริ่มเข้าสู่ยุคใหม่กลายเป็นพวกป่าเถื่อนและเริ่มที่จะทำลายระบบแบบแผนเก่าๆ และชาวกรีกก็ค่อยๆกลายเป็นประชาชาติที่ไร้กฎระเบียบและพบกับความอัปยศ
ความเสื่อมทรามทางด้านวัฒนธรรม
  • สาเหตุหลักที่นำพาวัฒนธรรมไปสู่ความเสื่อมสลาย ได้แก่ /ความเสื่อมถอยของระบบการศึกษา
    • / ความอ่อนแอของรากฐานทางวัฒนธรรม
    • / การสูญเสียความเคารพในจารีตประเพณีต่างๆ / การแพร่ขยายของลัทธิวัตถุนิยม
  • นี่คือ ปัจจัยที่ทำให้วัฒนธรรมทั้งหลายเกิดความเสียหาย โดนัลด์ ดัทลีย์ (Donald Dudley)จากการศึกษาวิจัยของเขาเกี่ยวกับอารยธรรมโรมัน กล่าวว่า “มิใช่มีแค่เพียงปัจจัยเดียวเท่านั้นที่ทำให้จักรวรรดินี้ต้องล่มสลายลง ทว่าการล่มสลายนั้นเป็นมาจากความอ่อนเปลี้ยเพลียแรง และความอ่อนแอที่เกิดขึ้นในสังคมของโรมัน แม้ว่าผลกระทบของความอ่อนแอเหล่านี้ อาจจะแตกต่างกัน แต่โดยรวมแล้วมันคือสาเหตุที่ทำให้อารยธรรมนั้นต้องล่มสลายลง”
  • ความเสื่อมทรามทางวัฒนธรรมของประชาชาติหนึ่งๆ นั้นจะนำไปสู่การการล่มสลายทางสังคมและวัฒนธรรมอย่างรวดเร็ว และตัวอย่างของการล่มสลายดังกล่าวนี้จะมีความคล้ายคลึงกัน ในอารยธรรมต่างๆ ที่หลากหลาย จากการศึกษาและวิจัยประวัติศาสตร์ เกี่ยวกับอารยธรรมทั้งหลาย ความคล้ายคลึงกัน แม้จะมีความแตกต่างทางวัฒนธรรม ระหว่างจักรวรรดิทั้งหลายที่ล่มสลายลงไปแล้วก็ตาม แต่ลักษณะวิธีการที่นำไปสู่การล่มสลายของวัฒนธรรมเหล่านี้มีความคล้ายคลึงกัน ตัวอย่างเช่น ความสุดโต่งในการใช้ชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือย การแสวงหาความสุขสำราญ และความมัวเมาในโลกีย์ในจักรวรรดิโรมัน ถูกล่าวถึงว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุที่สำคัญของการล่มสลายทางวัฒนธรรมของจักรวรรดิดังกล่าว
  • ความเสื่อมทรามทางด้านศีลธรรมมักจะเกิดจากปัจจัยหลัก 3 ประการ ได้แก่ ความไร้ศีลธรรม /การทำลายความเชื่อต่างๆ ทางศาสนา /การดึงชีวิตของมนุษย์ไปสู่ความว่างเปล่าและความไร้แก่นสาร/
  • เอ็ดเวิร์ด กิบบอน ( Edward Gibbon) นักประวัติศาสตร์คนหนึ่งที่ได้เขียนเกี่ยวกับการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันไว้เช่นนี้ว่า “ผู้นำของจักรวรรดิต้องประสบกับความอ่อนแอ ความเสื่อมเสียและความเชื่อในเรื่องเหลวไหล ค่านิยมทางศีลธรรมและกฎหมายต่างๆ ที่เข้มงวดได้สิ้นสลายลง การกดขี่และการปราบปรามถูกนำมาใช้ การใช้อำนาจอย่างไม่ถูกต้องทำให้ประชนในชาติ อ่อนแอลงหากต้องเผชิญหน้ากับการรุกรานของต่างชาติ การกดขี่และการปราบปรามที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมอเมริกาปัจจุบัน ภายใต้ข้ออ้างของการพิทักษ์ปกป้องความมั่นคงของชาตินั้นได้กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปแล้ว เพียงพอแล้วที่เราจะพิจารณาจากคำรายงานต่างๆ ที่มีการเผยแพร่เกี่ยวกับการเผชิญหน้าของเจ้าหน้าที่ตำรวจของอเมริกาที่ปฏิบัติต่อกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วง 
การละเมิดสิทธิมนุษยชนใน อเมริกา 
  • ปัญหาสิทธิมนุษยชน ในสหรัฐ มี 6 ข้อได้แก่ 
    • 1.การดำเนินชีวิต 
    • 2.เสรีภาพและสวัสดิภาพของมนุษย์ 
    • 3.สิทธิและเสรีภาพทางการเมือง 
    • 4.สิทธิในด้านเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม 
    • 5.การเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ-สิทธิสตรีและเด็ก 
    • 6.การละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศอื่น
  • การละเมิดสิทธิมนุษยชน ในสังคมอเมริกัน มีให้เห็นอย่างดาษดื่น แม้แต่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย เจ้าหน้าที่รัฐ มีการกระทำเกินกว่าเหตุหลายคดีความ นอกจากนี้ ชีวิตชาวอเมริกันในปัจจุบัน ก็ขาดหลักประกันด้านความปลอดภัย รวมทั้งความเท่าเทียมกันในสังคม
  • รายงาน ของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2004 ว่าในปี 2003 การละเมิดสิทธิมนุษยชน ในหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ก็มีปรากฏให้เห็น อาทิ กรณีของ นาง เจ้าเยี่ยน นักธุรกิจหญิงชาวจีนรายหนึ่ง ที่เดินทางไปสหรัฐ เมื่อเดือนกรกฎาคม ปีที่แล้ว ก่อนจะถูกตำรวจตรวจคนเข้าเมืองสหรัฐใส่กุญแจมือและทุบตี โดยไม่มีความผิด
  • การเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ ในสังคมอเมริกัน ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์การ์เดียน ของอังกฤษ ฉบับวันที่ 9 ตุลาคม 2004 ที่ระบุว่าในปี 2002 ครอบครัวชาวอเมริกันผิวขาว มีคุณถาพ ชีวิตที่ดี กว่าครอบครัวอเมริกันเชื้อสายละตินถึง 11 เท่า และมากกว่าอัฟฟริกันอเมริกันถึง 15 เท่า นอกจากนี้ การปฏิบัติตนของเจ้าหน้าที่รัฐ ต่อ ชาว อเมริกันผิวสี โดยทั่วไป ก็แย่กว่าพลเมืองอเมริกันผิวขาว 
  • จากข้อมูลของกระทรวงยุติธรรม สหรัฐ ในเดือนพฤศจิกายน 2004 ระบุว่า นักโทษมากกว่า 70% ในดินแดนแห่งเสรีภาพ เป็นชาวอเมริกันผิวสี สถานการณ์การทำร้ายผู้หญิง และเด็กในสหรัฐ ก็รุนแรงไม่แพ้ประเทศอื่น จากสถิติอาชญากรรมของเอฟบีไอ พบว่าในปี 2003 เกิดคดีข่มขืนกระทำชำเราถึง 93,233 คดี หรือเท่ากับว่ามี ผู้หญิงทุก 63.2 คนใน 100,000 คน ตกเป็นเหยื่อของการล่วงละเมิด ทางเพศ ในทุกๆปี มีเด็กที่ถูกบังคับให้เป็นโสเภณีหรือค้าประเวณี ราว 400,000 คน
ด้านสิทธิความเท่าเทียมระหว่างเพศ 
  • จากรายงานของกระทรวงแรงงานสหรัฐเมื่อเดือนมกราคม 2004 ชี้ชัดว่า ผู้หญิงที่ทำงานเต็มเวลา เช่นเดียวกับผู้ชายแต่ได้เงินเพียง 81.1% ที่ผู้ชายได้รับ ซึ่งนั่นคือการละเมิดสิทธิมนุษยชน ด้านความเท่าเทียมกัน ของ เพศชาย และ เพศหญิง
  • กาชาดสากลระบุ การทรมานนักโทษเป็นสิ่งที่ทหารอเมริกันปฏิบัติจนเป็น''ระบบ'' ไปแล้ว ในด้านการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศอื่น หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ และ นิวส์วีก เคยนำมาตีแผ่เรื่องราวเมื่อหลายปีก่อน เกี่ยวกับการใช้วิธีการรุนแรงต่างๆ ในการทรมานนักโทษ ในอัฟกานิสถานและ ในคุก อบูคอหริบ ในอิรัก แหล่งข่าว ของคณะกรรมการกาชาดสากล ให้ข้อมูลว่า การทรมานนักโทษของทหารอเมริกัน ไม่ใช่เกิดขึ้นครั้งเดียว แต่ทำจนกลายเป็น ระเบียบปฏิบัติ ไปแล้ว
  • กองทัพสหรัฐ ได้ทำการเข่นฆ่าอย่างป่าเถื่อน ระหว่างที่เข้าโจมตีในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในสงครามอิรัก ซึ่งจากสถิติการเสียชีวิตของพลเมืองอิรัก คาดว่าการโจมตีอิรัก นำไปสู่การล้มตายของคนมากกว่า 100,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเป็นผู้หญิงและเด็ก
  • สหรัฐอเมริกา มีปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนมากมาย แต่ก็ยังเที่ยวไปทำสงคราม เหยียบย่ำอธิปไตย และละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศอื่น
  • ข้อมูลล่าสุดยืนยัน จำนวน “เด็กไร้บ้าน” ในสหรัฐอเมริกาเพิ่มสูงขึ้นจนมีจำนวนมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ในยุคการบริหารประเทศของ “บารัค โอบามา” ชี้ในจำนวนประชากรเด็กทุกๆ 30 คนในเมืองลุงแซมจะมีเด็กไร้บ้าน 1 ราย
  • ศูนย์ครอบครัวคนไร้บ้านแห่งชาติสหรัฐฯ (เอ็นซีเอฟเอช) เผยผลการศึกษาล่าสุดในรายงานชุด “America’s Youngest Outcasts” พบข้อมูลว่า นับตั้งแต่ที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามาก้าวขึ้นบริหารประเทศในสมัยแรกเมื่อ 20 มกราคม ปี 2009 เป็นต้นมา จำนวนของ “เด็กไร้บ้าน” ในสหรัฐอเมริกาได้เพิ่มขึ้นเป็น “เกือบ 2.5 ล้านคน” แล้วนับถึงปี 2013 ที่ผ่านมา ถือเป็นจำนวนเด็กไร้บ้านที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ
  • ขณะเดียวกัน ผลการศึกษาครั้งนี้ยังสรุปว่าในจำนวนประชากรเด็กทุกๆ 30 คนในเมืองลุงแซมเวลานี้ จะมีเด็กไร้บ้านรวมอยู่ด้วย 1 ราย โดยที่มลรัฐแคลิฟอร์เนียมีจำนวนเด็กไร้บ้านอยู่มากที่สุดในประเทศ คือ เกือบ 527,000 คน หรือคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 5 ของเด็กไร้บ้านทั่วสหรัฐฯ
  • ผลการศึกษาที่พบว่า จำนวนเด็กไร้บ้านในอเมริกาขณะนี้ที่มีจำนวนเกือบ 2.5 ล้านคนนั้น ถือเป็นตัวเลขที่สูงกว่าการสำรวจของกระทรวงศึกษาธิการสหรัฐฯ (ดีโออี) ที่ระบุ จำนวนเด็กไร้บ้านในเมืองลุงแซมมีจำนวนราว 1.3 ล้านคนเท่านั้น
  • ผลการศึกษาล่าสุดชี้ว่า ปัญหาเศรษฐกิจที่ตกต่ำและการว่างงานที่พุ่งสูงในยุคของรัฐบาลโอบามา คือ ต้นตอสำคัญที่ทำให้พ่อแม่ชาวอเมริกันจำนวนมากสูญสิ้นศักยภาพในการผ่อน-เช่าบ้าน และหลายครอบครัวต้องกลายสภาพจาก “มนุษย์เงินเดือน” เป็น “คนเร่ร่อน” ซึ่งรวมถึงบรรดาเด็กๆในครอบครัวเหล่านี้ที่ต้องกลายเป็นเด็กไร้บ้านในที่สุด
  • ทั้งนี้ ข้อมูลจากรายงานล่าสุดของเอ็นซีเอฟเอชยังระบุว่า จำนวนเด็กไร้บ้านในสหรัฐฯ ได้เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 8 เปอร์เซ็นต์ในช่วงปี 2012-2013
  • นอกจากนี้ ผลจากโครงการพัฒนาและวิจัยอาวุธต่างๆ และ การทำกิจกรรมสงคราม นอกประเทศของสหรัฐ แบบล้างผลาญงบประมาณชาติ ผลประโยชน์ของชาติตกไปอยู่ในมือนักการเมืองและนายทุน ทำให้สหรัฐมีหนี้สินเพิ่มมากขึ้น ถึง 18 ล้านๆเหรียญ ในปัจจุบัน ไม่รวมดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นทุกๆนาที มีมูลค่ามากถึง 10 ล้านเหรียญต่อนาที จะเป็นอีกหนึ่งตัวเร่งให้ อเมริกา ไปสู่ความล่มสลาย
  • จากมุมมองทางประวัติศาสตร์ บรรดาจักรวรรดิทั้งมวลในช่วงยุคสุดท้ายของเขาจะมีการปราบปรามประชาชนอย่างกว้างขวาง
  • แคทเธอรีน เอ็ดเวิร์ดส์ (Catherine Edwards) นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษกล่าวว่า “สภาพการณ์ที่ไร้ศีลธรรมที่เรากำลังประสบอยู่ในขณะนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด การคุมกำเนิดและการทำแท้งเพื่อหลีกเลี่ยงการมีบุตรก็เคยเป็นส่วนหนึ่งจากวิธีการที่เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่มีอยู่ในกรุงโรมในยุคสมัยนั้น เมื่อผู้สามีไม่ยอมรับลูกของตนเองที่ถือกำเนิดขึ้นมา ดังนั้นในความเป็นจริงแล้วทำให้เด็กกลายเป็นสิ่งมีอยู่ที่ไร้ซึ่งอัตลักษณ์ ในช่วงวันสุดท้ายของจักรวรรดิโรมันชีวิตกลายเป็นสิ่งไร้คุณค่า กฎหมายต่างๆ กลายเป็นเรื่องยุ่งยากและเป็นภาษีอากรที่หนักหน่วง การค้าและการผลิตเป็นสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดผลกำไร ในที่สุดเด็กๆ (การมีบุตร) กลายเป็นภาระรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นสำหรับการดำเนินชีวิต การทำแท้งและการฆ่าทารก กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา บางครั้งเด็กๆ ถูกขายไปเป็นทาส การดำเนินชีวิตและมารยาทต่างๆ คือความสนุกสนานเฮฮาอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง การชุมนุมพบปะที่เต็มไปด้วยความสำเริงสำราญ การมีเพศสัมพันธ์ได้กระทำกันอย่างเปิดเผย ชาวคริสต์ผู้เคร่งครัดศาสนาและผู้คัดค้านจะถูกกีดกันออกจากสังคม”
  • ในสังคมอเมริกาขณะนี้ อัตราที่สูงของการทำแท้งที่พบเห็นในหมู่สตรีชาวอเมริกันคือในช่วงอายุระหว่าง 20 ถึง 24 ปี ซึ่งอยู่ในช่วงวัยที่ดีที่สุดของการเจริญพันธุ์และการให้การอบรมสั่งสอนแก่เยาวชนในอนาคต และในช่วงวัยนี้เองที่จะตกเป็นเป้าของกระแสการโหมโฆษณาชวนเชื่อที่จะชักจูงไปสู่ป่าแห่งความไร้ศีลธรรม ในคุณค่าต่างๆ แห่งการดำเนินชีวิตของชาวอเมริกันมากกว่าวัยใด
  • จากการพิจารณาถึงสภาพการณ์ของสังคมปัจจุบันของเอมริกาในทั้ง 3 ปัจจัย แห่งการล่มสลายที่ได้กล่าวถึงในข้างต้นสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน รัสเซล คิร์ก (Russell Kirk) ได้กล่าวว่า “ในทัศนะของผมสังคมอเมริกันกำลังว่ายวนอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของความหายนะ ในขณะที่หลายคนกล่าวว่า การมาถึงขั้นตอนนี้นับเป็นความเฟื่องฟูของอารยธรรมของเรา แต่ความจริงแล้วสภาพการณ์เช่นนี้เป็นผลมาจากการใช้อำนาจต่างๆ ที่กำลังอยู่ในสภาพของการทำลายล้างวัฒนธรรมของตนเอง การคุยโวโอ้อวดเกี่ยวกับความเป็นเสรีภาพประชาธิปไตย (Democratic freedoms) ที่มีอยู่ในสังคมเสรีนิยม (Liberal society) ในความเป็นจริงมันคือความเป็นทาสแห่งตัณหาและเป็นภาพลวงตาที่กำลังทำลายล้างความเชื่อต่างๆ ทางด้านศาสนา และจากการมุ่งเน้นในการสร้างวัตถุและสร้างชุมชนเมืองศิวิไลนั้นจะนำพาสังคมไปสู่การล่มสลาย และจะลบทำลายแบบแผน มารยาทและจารีตประเพณีที่ดีงามต่างๆ ในชีวิตให้หมดไป” หากเราพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ ของการล่มสลายของอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ทั้งหลายนั้น เราจะยอมรับได้อย่างชัดเจนว่าอเมริกานั้นกำลังตั้งอยู่ในความสูงชันขั้นสุดท้าย ก่อนจะลงหุบเหว ที่มีคล้ายคลึงกัน กับสิ่งที่ได้เกิดขึ้นในกรีก โรมัน อียิปต์โบราณและในอารยธรรมอื่นๆ และในวันนี้ก็สามารถเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายเช่นเดียวกันสำหรับอารยธรรมตะวันตก ศาสตราจารย์อัลลาน บลูม (Allan Bloom) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “จุดจบของการคิดแบบอเมริกัน” ว่า “ประวัติศาสตร์ของโลกในครั้งนี้กำลังจะเป็นคิวของอเมริกา 
  • ประชาชาติอเมริกาขณะนี้กำลังอยู่ในเส้นทางซึ่งจะไปนำพาไปสู่ปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้ อารยธรรมทั้งหลายก่อนหน้านี้ ไปสู่การล่มสลาย ความเชื่อต่างๆ และผู้นำที่ไร้ความคู่ควรจะถูกโฆษณาในสื่อของระบบการศึกษาและการวางนโยบายต่างๆ อย่างง่ายดาย และแบบอย่างพฤติกรรมทางเพศในอเมริกาในปัจจุบัน มีความน่าเกลียดยิ่งกว่า ที่เคยเป็นอยู่ในอารยธรรมทั้งหลายที่ได้ล่มสลายไปแล้วเสียอีก ชีวิตของมนุษย์กลายเป็นสิ่งไม่มีค่า ทารกแรกเกิดถูกทิ้งขว้างไว้ที่นี่ที่นั่น ทารกในครรภ์จะถูกทำแท้งและเด็ก ๆ จะถูกขายไปเป็นทาส ที่น่าแปลกประหลาด ยิ่งไปกว่าทั้งหมดนั่นก็คือ อีกด้านหนึ่งของพฤติกรรมที่ตรงข้ามกับมนุษยธรรมนั่นก็คือ สาขาวิชาเกี่ยวกับการช่วยเหลือทางด้านการแพทย์ถูกเปลี่ยนเป็นเครื่องมือสำหรับการฆ่าตัวตายของคนแก่ชราที่ได้กลายเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป
  • เมื่อเทียบกับชนรุ่นต่าง ๆ ก่อนหน้านี้ บรรดาครอบครัวของชาวอเมริกันในวันนี้มีเสถียรภาพต่ำกว่ามาก การแต่งงานได้สูญเสียความสำคัญของมันไปแล้ว การหย่าร้างและเด็ก ๆ ที่เกิดจากความสัมพันธ์ในเชิงชู้สาวที่ผิดกฎหมาย ชีวิตทางเพศสัมพันธ์หมู่ได้กลายเป็นที่แพร่หลาย และเด็ก ๆ ได้ตกอยู่ในความเสี่ยงและอันตรายอย่างมากและไม่มีการปกป้องใด ๆ สำหรับพวกเขา มุมมองของประชาชนโดยทั่วไปเกี่ยวกับการสมรส จริยธรรมต่าง ๆ ทางเพศและการเลี้ยงดูและการอบรมขัดเกลาเด็ก ๆ เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมเป็นอย่างมาก ถึงขั้นที่ว่าปรากฏการณ์ต่าง ๆ อย่างเช่น การใช้ชีวิตครอบครัวร่วมกับบุคคลที่มีผู้ให้กำเนิด(พ่อ)คนเดียวกัน สิ่งเหล่านั้นกำลังเป็นภัยคุกคามต่อโครงสร้างแบบดั้งเดิมของครอบครัวซึ่งกำลังจะเป็นตัวทำลายการคุ้มกันต่าง ๆ ทางด้านกฎหมายและทางศีลธรรมให้หมดไป
เบรสซินสกี (Brzezinski) กับการประกาศอันตรายของการล่มสลาย
  • ซบิกนีเยฟ เบรสซินสกี (Zbigniew Brzezinski) ถือกำเนิดในวันที่ 28 มีนาคม 1928 ในกรุงวอร์ซอเมืองหลวงของโปแลนด์ ในปี 1953 เขาได้รับปริญญาเอกสาขารัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด และในปี 1958 ได้กลายเป็นพลเมืองของอเมริกา ปัจจุบันนี้เขาสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยจอนส์ฮอพกินส์ (Johns Hopkins University) ภายหลังจากใช้ชีวิตอยู่ในประเทศนี้มา เป็นระยะเวลานานหลายปี ทำให้เขาในรู้จักสังคมอเมริกา ทั้งในด้านการเมืองและวัฒนธรรมเป็นอย่างดี เขาเป็นนักยุทธศาสตร์ ซึ่งเคยเป็นที่ปรึกษาอดีตคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกาและปัจจุบันนี้ก็เช่นกัน เขาเป็นผู้มีบทบาทสำคัญ ในการกำหนดนโยบายในระยะยาวต่างๆ ของอเมริกา เขาได้เขียนไว้ในบทหนึ่งจากหนังสือเล่มล่าสุดของเขาที่มีชื่อว่า “วิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ : อเมริกากับวิกฤตอำนาจโลก” (Strategic Vision: America and the Crisis of Global Power)โดยกล่าวว่า “อเมริกาในขณะนี้อยู่ในสถานการณ์ที่คล้ายกับช่วงเวลาแห่งการล่มสลายของอดีตสหภาพโซเวียต”
  • เบรสซินสกี กล่าวว่า “สถานการณ์ในปัจจุบันของอเมริกามีความคล้ายคลึง กับอดีตสหภาพโซเวียต นั่นคือ ทั้งสองประเทศ ระบอบของรัฐได้กลายเป็นอัมพาต และทั้งสองได้สูญเสียศักยภาพในการที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นในทางการเมือง และเพื่อที่จะครอบงำเหนือภูมิภาคต่างๆ ที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของโลก จึงต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายและงบประมาณทางทหารจำนวนมหาศาลแต่ก็ไร้ผล และ อเมริกาเองก็ได้สูญเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากมายไปในอิรักและในอัฟกานิสถาน อิทธิพลระหว่างประเทศของอเมริกาได้ลดลงไปอย่างมาก และปัญหา ภายในประเทศก็ต้องเผชิญกับปัญหาความไม่พึงพอใจทางสังคม (ซึ่งหนึ่งในตัวอย่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่สามารกล่าวได้ก็คือ ขบวนการเคลื่อนไหวแห่ง Wall Street) เบรสซินสกี ได้วิเคราะห์ตรวจสอบไว้ในหนังสือของเขาเกี่ยวกับสัญญาณต่างๆ ของการล่มสลายของอเมริกา กระแสการถดถอยในด้านการบริหารจัดการ ทั้งภายในประเทศและ ต่างประเทศของประเทศนี้ และลักษณะการสูญเสียโอกาสต่างๆ ในเวทีระดับโลก หลังจากสงครามเย็น สาสน์ที่ได้รับจากการวิเคราะห์และวิจัยของเบรสซินสกี ถือได้ว่าเป็นสัญญาณเตือนภัยแห่งประวัติศาสตร์ ที่บ่งบอกถึงการเริ่มต้นของการล่มสลายของอารยธรรม อเมริกา
  • ป.ล. ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่มีต่อประชาชน การถูกกดขี่ข่มเหง ความยากจน และ ความไร้ศิลธรรม ต่างๆ หากสังคมอเมริกา ยังคงเป็นเช่นนี้อยู่ต่อไป ทุกๆปัญหา จะเป็นเหมือนระเบิดเวลา ที่สุดท้ายจะนำพา อเมริกา ไปถึงจุดล่มสลาย ในอนาคต.
  • แหล่งอ้างอิง : 
  • http://www.operationrescue.org/about-…/abortions-in-america/
  • www.rohama.org/en/content/439
  • www.rense.com/general93/demys.htm
  • www.thecommonconservative.com/?p=211
  • http://www.nolanchart.com/article7132-the-coming-collapse-o…
  • http://www.independent.co.uk/…/love-honour-and-no-way-why-g…
  • http://www.akdart.com/culture2.html
  • http://wwww.sahibzaman.com










ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น