วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ตอนที่ 1. ประวัติและความเป็นมาของอาวุธ ชีวภาพ


การทำสงครามทางชีวภาพ (อาวุธเชื้อโรค)
ตอนที่ 1. ประวัติและความเป็นมาของอาวุธ ชีวภาพ
  • สงครามเชื้อโรค และสารพิษจากสิ่งมีชีวิตประเภทต่างๆ (Biological Warfare) ได้รับการใช้งานมาโดยตลอดประวัติศาสตร์การทำสงครามของมนุษย์ นอกเหนือจากเชื้อโรคแล้ว ยังมีการใช้สารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ จากจุลินทรีย์ และ พืช อย่างเช่น biotoxin สารชีวพิษ (biotoxin) หมายถึงสารพิษที่เกิดขึ้นในสิ่งมีชีวิต ตัวอย่างสารชีวพิษบางชนิด เช่น ซิกัวเทอรา (ciguatera) เป็นสารพิษ ที่เกิดในแพลงก์ตอน ซึ่งเป็นอาหารของสัตว์น้ำขนาดเล็ก บางประเภท ปลาใหญ่จะกินสัตว์น้ำเล็กๆ เหล่านี้เป็นอาหาร อีกต่อหนึ่งท็อกซินในปลาใหญ่จะเข้มข้นมากกว่าในสัตว์น้ำขนาดเล็กและมักสะสมในตับ สมอง หรือ นัยน์ตา มากกว่าในเนื้อ สารพิษนี้มีคุณสมบัติทนความร้อน มักพบในปลา ที่อาศัยบริเวณแนวปะการัง เช่น แถบทะเลแคริบเบียน และมหาสมุทรแปซิฟิก อาการพิษที่เกิดจะมีอาการท้องเดิน อาเจียน เจ็บปวดตามตัวและการรับความรู้สึกต่ออุณหภูมิผิดปกติ เช่น เมื่อถูกของร้อน กลับรู้สึกว่าเย็น เป็นต้น อาการเหล่านี้จะหายไปเองในช่วงเวลาหนึ่ง
  • อีกหนึ่งตัวอย่างของสารชีวพิษ เช่น พิษอัมพาตจากหอย (paralytic shellfish poisoning-PSP) เรียกย่อๆ ว่า สารพีเอสพี เป็นท็อกซินที่เกิดในแพลงก์ตอนโกนีโอแลกซ์ คาทาเนลลา และโกนีโอแลกซ์ ทามาเรนซิส (Gonyaulax catanella and Gonyaulax tamarensis) ซึ่งเป็นอาหารของหอย หอยจะดูดซึมสารพิษนี้จากแพลงก์ตอนสะสมไว้ในตัว เมื่อรับประทานหอยที่มีท็อกซินท็อกซินจะออกฤทธิ์กับระบบประสาทหลังบริโภคประมาณ 30 นาที จะมีอาการชาที่ปาก หน้ากล้ามเนื้อเกิดอัมพาต หากได้รับปริมาณมากจะเสียชีวิตภายใน 12 ชั่วโมง เนื่องจากระบบหายใจขัดข้อง การรักษามักใช้วิธีให้ผู้ป่วยอาเจียนหรือล้างกระเพาะ ด้วยผงถ่านเพื่อดูดซับสารพิษออกให้มากที่สุด รวมทั้งใช้เครื่องช่วยหายใจโดยเร็ว การป้องกันอันตรายแก่ผู้บริโภคนั้น ในหลายประเทศใช้วิธีติดตามตรวจสอบปริมาณสารพิษนี้ในแหล่งเลี้ยงหอย บริเวณน่านน้ำต่างๆ หากพบปริมาณสูงกว่า 80 ไมโครกรัม ในหอย 100 กรัม จะห้ามจับหอยบริเวณนั้น มารับประทานหรือจำหน่าย น้ำทะเลในบริเวณที่มีแพลงก์ตอนซึ่งมีสารพีเอสพีชุกชุมจะเป็นสีแดง ชาวบ้านเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ขี้ปลาวาฬ หากเกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้นที่ใด ก็ไม่ควรจับสัตว์น้ำทุกชนิด ในบริเวณนั้นมาบริโภค
  • อาวุธชีวภาพ เป็นอาวุธที่มีอานุภาพในการทำลายล้างสูง ทำให้คนจำนวนมากในพื้นที่กว้างได้รับบาดเจ็บ ป่วย และตาย เป็นอาวุธที่แตกต่างจากอาวุธประเภทอื่น คือ มีการบรรจุสิ่งมีชีวิตไว้ข้างใน ในทางทหารนั้น จุลินทรีย์ที่สามารถนำมาผลิตเป็นอาวุธชีวภาพได้ ต้องมี คุณสมบัติผลิตง่าย มีต้นทุนต่ำมีความคงทนในการผลิต เก็บรักษาไว้ได้นาน โดยไม่เปลี่ยนแปลงคุณสมบัติ และเข้าสู่ร่างกายได้หลายทาง
  • การรบโดยใช้อาวุธชีวภาพ จะทำได้ 3 วิธีได้แก่
  • 1. การปล่อยกระจายแบบ แอร์โร่ซอล ( Aerosol Method ) โดยการใช้สเปรย์ หรือวัตถุระเบิดให้กระจายอยู่ในอากาศ การปล่อยกระจายวิธีนี้ เป็นวิธีหลักที่จะถูกใช้มากที่สุด
  • 2. การปล่อยกระจายไปกับสัตว์พาหะ จะใช้วิธีการทำให้สัตว์ที่ดูดเลือดเป็นอาหาร ให้ตัวสัตว์นั้นติดเชื้อ แล้วจึงปล่อยให้สัตว์เหล่านั้นเข้าไปในพื้นที่เป้าหมาย เพื่อให้สัตว์ที่เป็นพาหะนำสารชีวะ เข้าสู่ร่างกายมนุษย์ เช่น ยุง หมัด เห็บ เหา ไร โดยปัจจุบันมีโรคติดต่อร้ายแรงกว่า 100 ชนิด เช่น ไข้เหลือง กาฬโรค ไข้คิว ไข้เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และไข้เลือดออก แต่วิธีการนี้เป็นวิธีรอง ๆ ลงไป
  • 3. และสุดท้ายเป็นการใช้วิธีการก่อวินาศกรรม หรือปล่อยกระจายโดยวิธีปกปิด แม้ว่าที่ผ่านมาจะยังไม่มีใครใช้อาวุธชีวภาพโดยเปิดเผย แต่เชื่อว่า การปล่อยกระจายสารอย่างลับ ๆ ในอากาศ น้ำ อาหาร หรืออื่น ๆ เพื่อทำอันตรายมนุษย์ สัตว์ หรือพืชจะทำได้ง่ายกว่า และป้องกันได้ยาก เนื่องจากจะใช้สารชีวะในปริมาณน้อยมาก หากมีการนำสารดังกล่าวไปใช้ต้องมีการซุกซ่อนอย่างดีวิธีนี้เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับสายลับ ผู้ก่อการร้าย และหน่วยรบพิเศษ การทำให้เกิดการปนเปื้อนโดยเจตนา จากการแพร่ระบาดโดยการใช้จุลินทรีย์ จากสัตว์หรือพืช ที่มีชีวิตหรือตายแล้ว และการแพร่เชื้อโดยใช้เสื้อผ้าเครื่องนุ่มห่ม และบุคคลที่เป็นพาหะนำเชื้อทางชีวภาพ (โดยบุคคลอาจจะไม่รู้ตัว หรือรู้ตัว) เป็นวิธีเสริมการปล่อยกระจาย ด้วยวิธีหลัก
  • สำหรับการใช้อาวุธชีวภาพ ในสงครามนั้น จุดประสงค์ คือ ผู้ใช้ต้องการทำให้ประชาชน สัตว์เลี้ยง หรือว่า พืชของฝ่ายตรงข้ามป่วยเป็นโรค และอาจถึงตายได้ โดยการโจมตีมนุษย์เป็นการกระทำโดยตรงเพื่อลดอำนาจกำลังรบ ส่วนการโจมตีสัตว์เลี้ยง และพืชผล เป็นการกระทำทางอ้อมเพื่อต้องการลดขีดความสามารถในการทำสงคราม และยังทำให้เกิดอาการเสียขวัญและกำลังใจในการรบ และการส่งกำลังบำรุงล้มเหลว 
  • การใช้อาวุธชีวภาพทำลายในสัตว์ ก็จะทำให้เกิดความเสียหายทางอ้อมต่อมนุษย์ด้วยปริมาณอาหารที่จำกัด การใช้อาวุธชีวภาพต่อสัตว์ที่เป็นยานพาหนะในการรบ เช่น ม้า/ลา.. ลดขีดความสามารถในการเพาะปลูก อย่างไรก็ตามในพืชที่เป็นเป้าหมายหลักในการใช้อาวุธเชื้อโรคทำลายส่วนใหญ่ จะเป็นพืชอาหารหลัก พวก ข้าวเจ้า ข้าวเหนียว มันฝรั่ง ข้าวสาลี ข้าวโพด ถั่วเหลือง มะนาว ฯลฯ และพืชเศรษฐกิจ อย่าง ชา กาแฟ ฝ้าย โดยจะใช้ในพื้นที่ศูนย์กลาง การผลิตอาหารทางการเกษตร เพื่อทำให้เกิดภาวะขาดแคลนอย่างหนัก ในยามสงคราม
  • ประวัติความเป็นมาของการทำสงครามทางชีวภาพ ตั้งแต่อดีต ถึง ปัจจุบัน
  • มีหลักฐานระบุว่า การทำสงครามด้วยอาวุธชีวะ หรืออาวุธเชื้อโรคไม่ใช่เรื่องใหม่
  • เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ของความตั้งใจที่จะใช้อาวุธชีวภาพ ถูกบันทึกไว้ในตำราเก่าแก่ เมื่อ 1,400 ปี ก่อนคริสตกาล ด้วยการทำให้เกิดการระบาดของโรค Turaremia (ไข้กระต่าย) โดย อาณาจักร Assyrain territory ที่ทำการแพร่ระบาดทางชีวภาพเข้าไปในดินแดนศัตรูของพวกเขา และยังมีการใช้เชื้อราเช่น Puccinia graminis (ที่ก่อให้เกิดความเสียหายกับต้นธัญพืช) และ Pyricularia oryzae (ก่อให้เกิดความเสียกับข้าว) ที่พวกเขาชาว Assyrian นำมาใช้ ด้วยการฉีดพ่นแพร่กระจายในปริมาณที่น้อยมาก แต่สามารถทำลายการเกษตรกรรมของศัตรูได้เกือบทั้งหมด ก่อนการล่มสลายของอาณาจักร Assyrain เมื่อ 606 ปีก่อน คริสตกาล Assyrain ใช้วิธีการที่แยบยลในการใช้สารชีวพิษกับศัตรู การโจมตีด้วยเชื้อราพิษ Claviceps purpurea ซึ่งทำให้เกิดการแพร่ระบาดในสถานที่เพาะปลูกของศัตรู และรูปแบบสารชีวพิษ "ergot" จากเชื้อรา การรับประทานขนมปังข้าว ที่ปนเปื้อนด้วย "ergot" สามารถทำให้เกิดแผลเน่า การแท้งบุตร และภาพหลอน.. Assyrain ใช้สารชีวพิษ "ergot" จากเชื้อรา วางยาพิษกับศัตรูของพวกเขา
  • ในช่วงแรกของสงครามศักดิ์สิทธิ์ในกรีซ เมื่อประมาณ 590 ปีก่อนคริสตกาล กรุงเอเธนส์ในสมัยกรีกโบราณ (เมืองหลวงของกรีซในปัจจุบัน)ได้วางยาพิษ ในระบบน้ำประปาของเมือง Kirrha(ใกล้Delphi) ด้วยพืชที่เป็นพิษพืชชนิดหนึ่ง
  • ในช่วงศตวรรษที่ 4 อาณาจักร Scythain (อารยธรรมโบราณสมัยกรีกโรมัน) อาณาจักรไซเธียน ครอบครองภาคตะวันออกของอิหร่าน และครอบคลุมบางส่วนของยุโรปตะวันออก รวมถึงทิศตะวันออกของ แม่น้ำ Vistula และเอเชียกลาง ชาวกรีกโบราณเรียกชื่อดินแดนนี่ว่า ซีเธีย ดินแดนทางตะวันออกเฉียงเหนือของยุโรปและชายฝั่งทางตอนเหนือของ ทะเลสีดำ
  • ทั้งนักรบและพลธนูของพวกเขา (ไซเธียน) ปลายหอก และลูกศรธนู ของพวกเขาถูกอาบด้วยพิษงู กับ เลือดของมนุษย์ที่ป่วยเป็นโรคร้าย และ อุจจาระสัตว์ ที่จะทำให้เกิดบาดแผลที่จะกลายเป็นที่ติดเชื้อ
  • ในช่วงยุคกลาง จักรวรรดิมองโกล ครั้งในอดีตที่แผ่ขยายอำนาจการปกครอง ระหว่างตะวันออกและตะวันตกของพื้นที่โลก ด้วยแสนยานุภาพกองทัพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็น(ในโลกยุคโบราณ) กองทัพมองโกลประกอบด้วย หน่วยเคลื่อนที่เร็วที่นำเชื้อกาฬโรค ไปแพร่ระบาด ทำให้ฝ่ายศัตรูติดเชื้อก่อนหน้าที่กองทัพหลักของมองโกลจะมาถึง การแพร่เชื้อกาฬโลก ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 25 ล้านคน ทั้งในประเทศจีน และหนึ่งในสามของประชากรในยุโรปในช่วงยุคกลาง ในการทำสงคราม ทหารจำนวนมากมักตกเป็นเหยื่อของ"เชื้อกาฬโรค" ที่ถูกนำมาใช้สำหรับการโจมตีทางชีวภาพโดยมักจะใช้เครื่องดีดหิน เหวี่ยงศพติดเชื้อ ข้ามกำแพงปราสาทเข้าไป ในปี ค.ศ. 1346 ในระหว่างการบุกโจมตี เมือง Kafa (ในปัจจุบันคือเมือง Feodossia ในไครเมีย Crimea รัสเซีย) โดยพวกทาร์ทาร์ ( Tatars ) ชนชาติเชื้อสายมองโก (จักรวรรดิมองโกลภายใต้ ผู้นำเจงกีสข่าน) ใช้ร่างของผู้ป่วยที่เพิ่งเสียชีวิตจากโรคระบาดเป็นอาวุธ การระบาดของโรคระบาด และกองกำลังป้องกันของทาร์ทาร์ ที่อ่อนแอลง จบลงด้วยชัยชนะของมองโกล
  • ส่วนชาวเมือง kafa ที่เป็นชาวอิตาลี ได้ทำการหลบหนีทางเรือ และนำกาฬโรคไปแพร่ระบาดในอิตาลี และทวีปยุโรป ระหว่างปี ค.ศ. 1346 – 1351 ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 25 ล้านคน หรือ 1 ใน 4 ของพลเมืองของทวีปดังกล่าว ดังนั้นการดำเนินการนี้ได้รับการคาดการณ์ว่า เป็นจุดเริ่มต้นของการถือกำเนิดของกาฬโรค ในยุโรป หรือที่ชาวยุโรปเรียกกันว่า (Black Death).
  • ในปี ค.ศ. 1415 พลธนูอังกฤษ (longbowmen) พวกเขามักจะวาดหัวลูกธนู กวาดลงไปที่พื้นดิน เป็นท่วงท่าที่ขึ้นคันลูกศรได้เร็วขึ้น และสิ่งสกปรกจากดิน ที่จะยึดติดอยู่กับหัวลูกศร จึงทำให้แผลที่เกิดจากลูกศร มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นแผลติดเชื้อ
  • ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่า ในโลกยุคโบราณ ไม่ว่าจะเป็นก่อนสมัยก่อน คริสตกาล หรือยุค กรีก ยุคมองโกล ต่างใช้ซากศพผู้เสียชีวิตจากโรค ในการทำสงคราม การวางยาในแหล่งน้ำ หรือใส่เครื่องยิง ดีดซากศพเข้าไปในเมืองที่ปิดล้อม โดยใช้เครื่องดีดก้อนหิน เพื่อให้ทหาร และพลเมืองฝ่ายตรงข้ามป่วยและตาย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แสดงให้เห็นว่าอาวุธชีวะ เป็นสิ่งที่ได้ถูกใช้งานมาอย่างยาวนาน ทั้งๆที่ในสมัยโบราณยังไม่มีความรู้ทางด้าน "จุลชีพ" แต่คนโบราณกลับ ใช้มันได้อย่างน่าประหลาดใจ
  • ในการสู้รบระหว่างทหารอังกฤษกับชนพื้นเมืองชาวอินเดียนแดง การแพร่กระจายของโรคโดยเจตนา จากอาณานิคมคนขาว มีกรณีที่ยืนยันความพยายามที่อาณานิคมคนขาว จะกำจัดชนพื้นเมืองด้วย โรคร้าย ในปี ค.ส. 1763 เกิดการจลาจลที่รุนแรง ในเพนซิลเวเนีย (อาณานิคมอังกฤษ) ความกังวลเกี่ยวกับชนพื้นเมืองที่เริ่มลุกฮือต่อต้าน อังกฤษอย่างรุนแรง. เซอร์ เจฟฟรีย์ แอมเฮิร์ท ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพอังกฤษ ในทวีปอเมริกาเหนือ เขียนถึงพันเอก เฮนรี่ ฟอร์ต 
  • ในเนื้อหาของบทความ เขียนว่า:
  • "จะเป็นการดีมาก ในความพยายามที่จะแพร่เชื้อ ไข้ทรพิษ ด้วยวิธีการใช้ผ้าห่ม หรือจะลองทุกวิธีการอื่นๆ ที่สามารถทำหน้าที่ในการกำจัด คู่แข่งขันที่น่าชังนี้"
  • และนั่นคือการใช้อาวุธชิวถาพในการทำสงคราม โดยการแพร่กระจายไข้ทรพิษ กับชาวพื้นเมืองอเมริกัน ด้วยการแจกจ่ายผ้าห่ม ของผู้ป่วยโรคติดต่อก่อนหน้านี้ ให้คนพื้นเมือง ในการแพร่เชื้อ
  • ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้มีการใช้ เชื้อแอนแทรกซ์ที่อันตรายในการทำสงคราม โรคแอนแทรกซ์ได้เกิดขึ้นและระบาดในโลกมานานหลายศตวรรษแล้ว นับเวลาย้อนกลับไปได้ตั้งแต่ยุคสมัยของคัมภีร์ไบเบิ้ล เชื้อแอนแทรกซ์ได้ถูกระบุหลายครั้งว่าเป็นตัวการในการระบาดอันร้ายแรง ซึ่งคร่าชีวิตทั้งมนุษย์และสัตว์ หลังจากที่นักวิทยาศาสตร์ได้เรียนรู้และเข้าใจเกี่ยวกับมันมากขึ้น มันก็ได้กลายมาเป็นอาวุธชีวะภาพ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ส่วนหนึ่งของรายงาน ในประวัติศาสตร์ของแบคทีเรียโรคระบาดร้ายแรง (แอนแทรกซ์) การใช้งาน เชื้อแอนแทรกซ์ เป็นอาวุธในการทำสงครามโดยเยอรมนี ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1
  • ระหว่างปี ค.ศ.1914-1918 เยอรมัน ริเริ่มโครงการลับที่จะแพร่เชื้อให้กับม้าและวัวของกองทัพพันธมิตรฝ่ายศัตรู มีรายงานว่า สายลับเยอรมันได้แทรกซึมเข้าไปอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาและได้แพร่เชื้อแบคทีเรียให้แก่สัตว์เพื่อเป็นพาหะในการนำโรคแพร่กระจายต่อไป รวมถึงมีการทำให้สัตว์ติดเชื้ออย่างซ่อนเร้นก่อนการจัดส่งของพวกเขา(เยอรมัน) ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าความพยายามของเยอรมันในปี ค.ศ.1915 ที่จะแพร่กระจายโรคระบาดใน เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ในการต้านทานรัสเซีย (สายลับจากเยอรมัน ได้แพร่เชื้อแอนแทรกซ์ให้แก่วัวและม้า ในเมือง บูคาเรสต์ (โรมาเนีย) ในปี ค.ศ.1916...และในประเทศฝรั่งเศส ปี ค.ศ. 1917...จากรายงานลับสุดยอด ปี ค.ศ. 1943 รายงาน เขียนโดยที่ปรึกษาทางสงครามชีวภาพ ของประธานาธิบดี รูสเวล, สหรัฐอเมริกามี "หลักฐาน" ว่า ปี ค.ศ. 1915 ในนครนิวยอร์ก " สัตว์อย่างม้าและวัว ได้รับการติดเชื้อแบคทีเรีย)
  • ดร. Theodore Rosebury อดีตเจ้าหน้าที่กองทัพสหรัฐ ด้านจุลชีววิทยา อ้างว่าในปี ค.ศ.1949 สายลับเยอรมันดำเนินการ ที่สวิตเซอร์แลนด์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 "กับการแพร่กระจายโรคระบาดแอนแทรกซ์และโรคอหิวาต์ ในหมู่ประชากรมนุษย์ของประเทศโดยรอบ" ดังที่กล่าวมาในข้างต้นนั่นคือการใช้โรคระบาด กับเป้าหมายที่เป็นมนุษย์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1
  • ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ปี ค.ศ. 1931 พบว่า กองทัพญี่ปุ่นได้จัดตั้งหน่วยปฏิบัติการ 731 (Unit 731) ตั้งอยู่ 40 ไมล์ไปทางตอนใต้ของเมืองฮาบิน (Harbin) ในแมนจูเรียของจีน โดยดำเนินการไปจนถึงปี คศ 1945 หน่วยสงครามชีวะ โดยมี พล.ท.ชิโร อิชิไอ เป็นผู้บัญชาการหน่วย โดยมีชื่อเรียกเพื่อปกปิดปฎิบัติการลับนี้ว่า หน่วยต่อด้านโรคระบาด มีการใช้เชลยศึกจากชาติต่างๆมาเป็นหนูทดลอง 
  • วิธีการของการทดลองนั้น กล่าวกันว่า เป็นการทำให้ติดเชื้อ นำร่างกายบางส่วนไปแช่หิมะ แล้วนำไปสัมผัสกับเชื้อโรค หน่วย 731 นี้ ประกอบด้วยหน่วยรอง ซึ่งเป็นหน่วยแยก ประมาณ 18 หน่วย ทำหน้าที่ทดลองอาวุธชีวะ ครั้งนั้นมีประมาณการว่า เชลยศึกนับหมื่นคนได้ถูกนำไปทดลอง และมีผู้เสียชีวิตจากการทดลองหลายพันคน ขณะเดียวกัน กองทัพญี่ปุ่นยังได้เข้าไปตั้งสถานีวิจัยอาวุธชีวะในสิงคโปร์ เพื่อทำการวิจัยเกี่ยวกับกาฬโรค และส่งให้หน่วยทหารญี่ปุ่นในประเทศไทยด้วย 
  • ทั้งนี้ เชื้อโรคที่ญี่ปุ่นเคยศึกษาวิจัย ได้แก่ โรคแอนแทรกซ์ โรคแท้งติดต่อ อหิวาตกโรค บาดทะยัก ไข้หวัดใหญ่ กาฬโรค ไข้รากสาด ไข้รากสาดน้อย ไข้ทรพิษ และวัณโรค 
  • ในปี ค.ศ. 1937ประเทศญี่ปุ่นได้เริ่มโครงการทดลองอาวุธชีวภาพในมนุษย์ โดยดำเนินการไปจนถึงปี คศ 1945 จึงถูกเผาทำลายไปในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 มีหลักฐานพบว่าญี่ปุ่นได้ทำการทดลองอาวุธชีวภาพในนักโทษ สงครามชาวจีนประมาณ 1,000 คน โดยนักโทษส่วนใหญ่ได้เสียชีวิตจากโรคแอนแทร็กซ์ ที่แพร่กระจายจากทางเดินหายใจ (Aerosolized Anthrax) มีการคาดประมาณกันว่า มีผู้เสียชีวิตจากการทดลองนี้ 3,000 คน ในช่วงเวลาเดียวกัน มีรายงานการโรยหมัดหนูที่ติดเชื้อกาฬโรค โดยเครื่องบินรบของญี่ปุ่นเหนือน่านฟ้าของจีนและแมนจูเรีย ในปี ค.ศ. 1945 โครงการอาวุธชีวภาพของญี่ปุ่น สามารถผลิตเชื้อแอนแทร็กซ์ (Anthrax) จำนวน 400 กิโลกรัม พร้อมที่จะบรรจุในลูกระเบิดชนิดแตกกระจาย. กองทัพญี่ปุ่นใช้อาวุธชีวะ ในการทำสงครามกับจีนและโซเวียต ระหว่างปี ค.ศ. 1940–1944
  • ในปี ค.ศ. 1943 สหรัฐอเมริกา ได้เริ่มจัดทำห้องปฏิบัติการและโครงการผลิตอาวุธชีวภาพเพื่อเป็นการ ต่อรองดุลอำนาจของเยอรมันและญี่ปุ่นในเวลานั้น โครงการนี้ไดัจัดตั้งที่แค็มป์ เดทริก (Camp Detrick) ปัจจุบันชื่อ ฟอร์ด เดทริก (Fort Detrick) ซึ่งในเวลานั้นเป็นฐานทัพอากาศขนาดเล็กและ มีการส่งผลผลิตไปยังจุดจัดเก็บต่างๆ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1969 ประธานาธิบดี นิกสัน Richard Nixon ได้สั่งยกเลิก โครงการอาวุธทางชีวภาพทั้งหมด อาวุธทางชีวภาพที่สหรัฐฯได้ทำการวิจัย และพัฒนาประกอบด้วย
  • -Bacillus anthracis
  • -Botulinum toxin
  • -Francisella tularensis
  • -Coxiella burnetii
  • -Venezuelan equine encephalitis virus
  • Brucella suis 
  • -Staphylococcal enterotoxin B.
  • ประเทศสหรัฐอเมริกาเริ่มใช้ความรู้ทางการแพทย์เกี่ยวกับอาวุธทางชีวภาพตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1943 จนปัจจุบันโดยหน่วยงาน USAMRIID... หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐยังคงวิจัยอาวุธชีวภาพ ในปี ค.ศ. 1950 มหาวิทยาลัยรัฐไอโอวา ผลิตเชื้อแอนแทรกซ์สายพันธุ์รุนแรง "สายพันธุ์อาเมส" ซึ่งต่อมาถูกขายไปยังหลายส่วนของโลก
  • ในปี ค.ศ. 1972 สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร และสหภาพโซเวียต ได้จัดทำข้อตกลงเรื่องการห้ามสะสม, ห้ามการผลิต,และห้ามการเผยแพร่อาวุธชีวภาพ โดยมี 140 ประเทศทั่วโลกได้ร่วมลงสัตยาบรรณ.. ก่อนหน้าสนธิสัญญา ห้ามใช้อาวุธชีวภาพ "1972" สหรัฐฯ ได้กระทำการการโรยสารมีสีจากเฮลิคอปเตอร์ และเครื่องบินเหนือน่านฟ้า ลาว และ กัมพูชา และพบว่าผู้ที่สัมผัสกับสารเหล่านั้นรวมทั้งสัตว์มีอาการเจ็บป่วยและตาย โดยมีความเห็นว่า สารที่ใช้ คือ Trichlothecene toxins ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งจาก T2 mycotoxin สารพิษที่สกัดจากพืชและเห็ดพิษ แต่ภายหลังสนธิสัญญาห้ามใช้อาวุธชีวะภาพ สหรัฐฯ ยังมีการแอบใช้สารชีวะภาพอย่างจงใจ ในสงครามนอกรูปแบบต่างๆอีก เช่น กรณีฝนเหลือง (Yellow rain) ในสงครามเวียดนาม สหรัฐฯ ยังมีความเกี่ยวพันกับเชื้อไวรัสมรณะ อีโบล่า กับต้นกำเนิดของเชื้อดังกล่าวที่มีความน่าสงสัย..
  • ในปี ค.ศ. 1941–1942 อังกฤษได้ทำการทดลองปล่อยกระจายสารชีวะ เพื่อเตรียมไว้ใช้โต้ตอบเยอรมัน หากพบว่าเยอรมันหันมาใช้อาวุธชีวะกับทหารอังกฤษ ในครั้งนั้น อังกฤษได้พ่นละอองเชื้อแอนแทรกซ์ใส่เกาะกรินาร์ด ซึ่งเป็นเกาะเล็ก ๆ ทางฝั่งตะวันตกของแคว้นสก็อตแลนด์ 
  • ในกว่า 40 ปี ต่อมา การสำรวจยังพบว่า เชื้อดังกล่าวยังมีชีวิตอยู่ได้ ทำให้รัฐบาลอังกฤษ ต้องใช้เงินหลายล้านปอนด์ ฆ่าเชื้อที่ฝังอยู่ในดิน ด้วยวิธีการตัดหน้าดินทั้งเกาะไปทิ้งและราดน้ำยาฆ่าเชื้อโรค
  • ในปัจจุบัน แม้จะไม่มีการแสวงหาเชื้อโรคชนิดใหม่ มาทำเป็นอาวุธชีวะภาพ แต่ก็ยังมีการคัดเลือกสายพันธุ์ของโรคที่มีความรุนแรงมากขึ้น หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงได้ไม่นาน พบว่า สหรัฐอเมริกา อังกฤษ โซเวียต และแคนาดา ได้ทำการทดลองและผลิตอาวุธชีวะ อย่างเปิดเผย 
  • แม้ว่าจะมีสนธิสัญญาห้ามอาวุธชีวะ ค.ศ. 1972 บังคับห้ามใช้อาวุธชีวะแล้วก็ตาม แต่มีหลายประเทศไม่ยอมปฏิบัติตามพันธสัญญา ปัจจุบันคาดว่ามีการผลิตสารชีวะภาพ จากการใช้วิธีทาง วิศวพันธุกรรม ในการตัดต่อพันธุกรรมและพัฒนาเชื้อให้รุนแรงขึ้น (ในปัจจุบัน เชื้อชีวภาพ ได้รับการพัฒนาโดยนักวิทยาศาสตร์ ในการผลิตอาวุธชีวภาพ อย่างฝีดาษ (Smallpox) ขึ้นมา โดยใช้วิธีทางวิศวพันธุกรรม และถือเป็นเชื้อโรคที่ร้ายแรง ตัวหนึ่งในประวัติศาสตร์)
  • ป.ล.การทำสงคราม โดยใช้เชื้อโรคมีมานานตั้งแต่โบราณกาล..
  • ป.ล.แหล่งอ้างอิง จะอยู่ในตอนสุดท้าย ^^

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น